กรณีศึกษา การอนุญาโตตุลาการ ระหว่างส่วนราชการ กับ เอกชน
สัญญาจ้างเหมาก่อสร้างขุดลอกหนองน้ำและคลองธรรมชาติ
The Case Study of The Arbitration Between The Government Bureau and The Private Sector About the contract of Swamp and Canal Digging
นายธีระพงษ์ ปากเมย
นักศึกษาหลักสูตรวิศวกรรมศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการตรวจสอบและกฎหมายวิศวกรรม มหาวิทยาลัยรามคำแหง theerapong2504@hotmail.com
บทคัดย่อ
การระงับข้อพิพาทโดยวิธีการอนุญาโตตุลาการ คู่พิพาทตกลงกันตั้งบุคคลที่สามที่มีความรู้ความสามารถในสาขาที่พิพาทมาเพื่อวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทระหว่างกัน เมื่ออนุญาโตตุลาการชี้ขาดอย่างใดแล้วย่อมผูกพันคู่พิพาท เป็นวิธีการที่รวดเร็ว ลดค่าใช้จ่าย รักษาชื่อเสียง เป็นความลับ รักษาความสัมพันธ์ ความสมประโยชน์ของคู่พิพาท แบ่งเบาภาระศาล สามารถรวมอนุญาโตตุลาการที่มีทักษะและความรู้ในระบบกฎหมายที่แตกต่างกัน กรณีศึกษานี้ เป็นการศึกษาข้อพิพาทระหว่างกรมชลประทานกับเอกชน ที่ตกลงทำสัญญาจ้างเหมาก่อสร้างและใช้การระงับข้อพิพาทโดยอนุญาโตตุลาการ ในปี พ.ศ.2538 ซึ่งต่อมาผู้รับจ้างถูกยกเลิกสัญญาในปี พ.ศ.2539 และไม่ชำระค่าปรับให้ครบถ้วน กรมชลประทานได้ใช้ระยะเวลาในการดำเนินการจนได้รับคำชี้ขาดจากคณะอนุญาโตตุลาการในปี พ.ศ.2550 ว่า ผู้รับจ้างเป็นฝ่ายผิด และให้ชำระค่าปรับให้กรมชลประทาน นอกจากนี้ทั้งสองฝ่ายต้องร่วมกันชำระค่าใช้จ่ายในกระบวนการพิจารณาคดีและค่าป่วยการของคณะอนุญาโตตุลาการฝ่ายละครึ่ง ผลการศึกษาพบว่า การระงับข้อพิพาทดังกล่าวใช้ระยะเวลาดำเนินการ 11 ปี ทั้งนี้ส่วนราชการเห็นว่ามักจะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบและต้องเสียค่าใช้จ่ายมาก แต่การดำเนินคดีทางศาล คู่กรณีมีโอกาสต่อสู้คดีได้ถึง 3 ศาล ทำให้ได้รับความเป็นธรรมมากขึ้นรวมทั้งไม่เสียค่าใช้จ่ายในชั้นศาล อีกทั้งระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 ให้สามารถเลือกใช้การระงับข้อพิพาทได้ตามความเหมาะสม กรมชลประทานจึงได้ยกเลิกการใช้สัญญาอนุญาโตตุลาการ ตั้งแต่ปี พ.ศ.2538
คำสำคัญ : การระงับข้อพิพาท, อนุญาโตตุลาการ, การดำเนินการทางอนุญาโตตุลาการ
Abstract
Dispute Settlement by using the arbitration so the litigant needs to set up the third party who is expert in that field to make the judgment. After the arbitrators had made the final decision then it would be involved with both sides. They do need to follow the verdict strictly. This method is fast, reducing the cost, not losing the face, confidential, saving their relationship, advantage for both sides, and lighten the load of court’s work. The benefit is; there will be many expert arbitrators who have the knowledge of laws quite well. This case study was the problem which happened between the Royal Irrigation Department and the Private Sector in 1995 and later the contractor was canceled the agreement in 1996. A fine was not paid fully at that time. The Royal Irrigation Department took quite a while to get the final verdict from the arbitrators in 2007 and the contractor was guilty. A fine needed to pay. Both sides paid for the court expense, too. This case took about 11 years to make a settlement. The government bureau often be disadvantageous from this problem also. It needed to go through 3 courts to get the fair lawsuit. Later the court expense didn’t need to pay. The Office of the Prime Minister had set the 1992 rules about the inventory or parcel work that the government bureaus can chose the best way to dispute settlement. Therefore, the Royal Irrigation Department canceled to use the arbitration in 1995.
Keyword : Dispute Settlement, Arbitrators, Arbitration
1. บทนำ
การระงับข้อพิพาทโดยวิธีการอนุญาโตตุลาการมีหลักสำคัญอันหนึ่งคือ กระบวนการต่างๆ จะทำเป็นความลับเพื่อไม่ให้กระทบกระเทือนถึงชื่อเสียงและความสัมพันธ์ของคู่กรณี บุคคลภายนอกจะไม่มีโอกาสเข้าไปล่วงรู้ข้อมูลในความลับนั้น ในบทความนี้ผู้เขียนได้ขออนุญาตจากเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบเพื่อเป็นกรณีศึกษาในกระบวนการระงับข้อพิพาทโดยวิธีอนุญาโตตุลาการ ระหว่างส่วนราชการกับเอกชน โดยสัญญานี้เป็นสัญญาของกรมชลประทานที่ดำเนินการตั้งแต่ ปี พ.ศ.2538 และใช้การดำเนินการทางอนุญาโตตุลาการในการระงับข้อพิพาท
2. สาระสำคัญของสัญญาจ้างเหมาก่อสร้าง
2.1 สัญญาจ้างเหมาก่อสร้างขุดลอกหนองน้ำและคลองธรรมชาติ คู่สัญญาได้แก่ กรมชลประทาน กับ ห้างหุ้นส่วนจำกัด ก. โดยตกลงจ้างเหมาก่อสร้างขุดลอกหนองน้ำและคลองธรรมชาติ ในเขตจังหวัดอุดรธานี วงเงินค่าก่อสร้างตามสัญญา 4,777,994.29 บาท กำหนดเวลาแล้วเสร็จภายใน 150 วัน
2.2 ค่าปรับ : สัญญาข้อ 15
หากผู้รับจ้างไม่สามารถทำงานให้แล้วเสร็จตามเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญา และผู้ว่าจ้างยังมิได้บอกเลิกสัญญา ผู้รับจ้างจะต้องชำระค่าปรับให้แก่ผู้ว่าจ้างเป็นจำนวนเงิน วันละ 4,777.99 บาท นับถัดจากวันที่กำหนดแล้วเสร็จตามสัญญาหรือวันที่ผู้ว่าจ้างได้ขยายให้จนถึงวันที่งานแล้วเสร็จ
หากผู้ว่าจ้างเห็นว่าผู้รับจ้างจะไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญาต่อไปได้ ผู้ว่าจ้างจะใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาและใช้สิทธิของผู้ว่าจ้างภายหลังบอกเลิกสัญญาก็ได้ และถ้าผู้ว่าจ้างได้แจ้งข้อเรียกร้องไปยังผู้รับจ้างเมื่อครบกำหนดแล้วเสร็จของงานขอให้ชำระค่าปรับแล้ว ผู้ว่าจ้างมีสิทธิที่จะปรับผู้รับจ้างจนถึงวันบอกเลิกสัญญาได้อีกด้วย
2.3 กรณีข้อพิพาทและอนุญาโตตุลาการ : สัญญาข้อ 19
19.1 ในกรณีที่มีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นระหว่างคู่สัญญาเกี่ยวกับข้อกำหนดแห่งสัญญานี้หรือเกี่ยวกับการปฏิบัติตามสัญญานี้และคู่สัญญาไม่สามารถตกลงกันได้ให้เสนอข้อโต้แย้งหรือข้อพิพาทนั้นต่ออนุญาโตตุลาการเพื่อพิจารณาชี้ขาด
19.2 เว้นแต่คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายจะเห็นพ้องกันให้อนุญาโตตุลาการคนเดียวเป็นผู้ชี้ขาด การระงับข้อพิพาทให้กระทำโดยอนุญาโตตุลาการ 2 คน โดยคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งจะทำหนังสือแสดงเจตนาจะให้มีอนุญาโตตุลาการระงับข้อพิพาท และระบุชื่ออนุญาโตตุลาการคนที่ตนแต่งตั้งส่งไปยังคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่ง จากนั้นภายในระยะเวลา 30 วัน นับถัดจากวันที่ได้รับแจ้งดังกล่าว คู่สัญญาฝ่ายที่ได้รับแจ้งจะต้องแต่งตั้งอนุญาโตตุลาการคนที่สอง ถ้าอนุญาโตตุลาการทั้งสองคนดังกล่าวไม่สามารถประนีประนอมระงับข้อพิพาทนั้นได้ให้อนุญาโตตุลาการทั้งสองคนร่วมกันแต่งตั้งอนุญาโตตุลาการผู้ชี้ขาดภายในกำหนดเวลา 30 วัน นับจากวันที่ไม่สามารถตกลงกัน ผู้ชี้ขาดดังกล่าวจะพิจารณาระงับข้อพิพาทต่อไป กระบวนพิจารณาของอนุญาโตตุลาการให้ถือตามข้อบังคับอนุญาโตตุลาการของสถาบันอนุญาโตตุลาการ กระทรวงยุติธรรม โดยอนุโลม หรือตามข้อบังคับอื่นที่คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายเห็นชอบและให้กระทำในกรุงเทพมหานคร โดยใช้ภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษเป็นภาษาในการดำเนินกระบวนการพิจารณา
19.3 ในกรณีที่คู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่แต่งตั้งอนุญาโตตุลาการฝ่ายตนหรือในกรณีที่อนุญาโตตุลาการทั้งสองคนไม่สามารถตกลงกันแต่งตั้งอนุญาโตตุลาการผู้ชี้ขาดได้ คู่สัญญาแต่ละฝ่ายต่างมีสิทธิร้องขอต่อศาลแพ่ง เพื่อแต่งตั้งอนุญาโตตุลาการหรืออนุญาโตตุลาการผู้ชี้ขาดแล้วแต่กรณี
19.4 คำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการหรืออนุญาโตตุลาการผู้ชี้ขาดแล้วแต่กรณี ให้ถือเป็นเด็ดขาดและถึงที่สุดผูกพันคู่สัญญา
19.5 คู่สัญญาแต่ละฝ่ายเป็นผู้รับภาระค่าธรรมเนียมอนุญาโตตุลาการฝ่ายตนและออกค่าใช้จ่ายอื่นๆ ในการดำเนินการกระบวนพิจารณาฝ่ายละครึ่ง ในกรณีที่มีการแต่งตั้งอนุญาโตตุลาการคนเดียวหรือมีการแต่งตั้งอนุญาโตตุลาการผู้ชี้ขาด ให้อนุญาโตตุลาการหรืออนุญาโตตุลาการผู้ชี้ขาดเป็นผู้กำหนดภาระค่าธรรมเนียมอนุญาโตตุลาการคนเดียวหรือภาระค่าธรรมเนียมอนุญาโตตุลาการผู้ชี้ขาดคนเดียวแล้วแต่กรณี
- สัญญานี้ผู้ว่าจ้างมีหนังสือแจ้งผู้รับจ้างเข้าปฏิบัติงานและผู้รับจ้างรับทราบเมื่อวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2538 เริ่มนับอายุสัญญาวันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2538 สิ้นสุดอายุสัญญาวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2538
2.4 รายละเอียดปริมาณงาน
3 ผลการดำเนินการตามสัญญา
3.1 ผลการดำเนินถึงวันสิ้นสุดอายุสัญญา
วันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2538 สิ้นสุดอายุสัญญา ผู้รับจ้างปฏิบัติงานได้ผลงานเพียง 10.17 % กรมชลประทานมีหนังสือแจ้งผิดสัญญาพร้อมสงวนสิทธิ์ปรับ ผู้รับจ้างมีหนังสือชี้แจงและยินยอมให้ปรับ และขอทำงานต่อถึงวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2539 ได้ผลงาน 25%
3.2 การบอกเลิกสัญญา
วันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2539 ผู้ควบคุมงานรายงานว่าไม่มีผลงานก้าวหน้าและไม่มีการปฏิบัติงานของผู้รับจ้าง คณะกรรมการตรวจการจ้าง มีหนังสือเตือน 2 ฉบับแต่ผู้รับจ้างเพิกเฉย คณะกรรมการฯ จึงเสนอกรมชลประทาน บอกเลิกสัญญา
วันที่ 1 สิงหาคม 2539 กรมชลประทานบอกเลิกสัญญา พร้อมแจ้งให้ผู้รับจ้างชำระค่าปรับ 413 วันๆ ละ 4,777.39 บาท เป็นเงิน 1,973,309.87 บาท ผู้รับจ้างมีหนังสือขอชะลอค่าปรับและขอส่งมอบงาน
3.3 การส่งมอบงาน
วันที่ 30 กันยายน 2539 ผู้รับจ้างส่งมอบงานงวดที่ 1 กรมชลประทานได้ตรวจรับงานและอนุมัติจ่ายเงินค่างานเป็นเงิน 1,290,519 บาท หักภาษีเงินได้ของนิติบุคคล 19,000.93 บาท คงเหลือสุทธิ 1,271,518.07 บาท ได้หักเป็นค่าปรับบางส่วน และได้แจ้งให้ผู้รับจ้าง ชำระค่าปรับส่วนที่ขาดอีก 701,791.80 บาท ผู้รับจ้างมีหนังสือยินยอมชำระ แต่ขอผ่อนชำระเป็นรายเดือน กรมชลประทานพิจารณาแล้วไม่สามารถผ่อนชำระได้เนื่องจากไม่มีระเบียบหรือข้อตกลง ผู้รับจ้างขอความเป็นธรรม ขอให้ตรวจงานที่ส่งไปแล้ว น่าจะมีปริมาณงานในสัดส่วนที่เพียงพอเป็นค่าปรับที่ผู้รับจ้างต้องรับผิดชอบ กรมชลประทานพิจารณาข้อเท็จจริงและเหตุผลแล้วยืนยันการตรวจรับงานในส่วนของราคาและปริมาณงานที่ดำเนินการไปถูกต้องแล้ว
วันที่ 10 เมษายน 2540 ผู้รับจ้างขอส่งมอบงานงวดที่ 2 เป็นเงิน 1,132,399.70 บาท กรมชลประทานไม่เห็นด้วยกับคำขอของผู้รับจ้าง และเห็นว่าผู้รับจ้าง มีเจตนาประวิงเวลาในการชำระค่าปรับอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ประกอบกับได้ยืดระยะเวลาให้ผู้รับจ้างนานพอสมควรแล้ว จำเป็นต้องดำเนินการทางกฎหมายต่อไป
4. การดำเนินการทางด้านกฎหมาย
4.1 สำนักอัยการพิเศษฝ่ายคดีแพ่ง เขต 4
วันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2542 กรมชลประทานส่งเรื่องให้สำนักอัยการพิเศษฝ่ายคดีแพ่ง เขต 4 เพื่อจัดพนักงานอัยการดำเนินการฟ้องคดี กรณีผิดสัญญาเรียกค่าปรับเป็นทุนทรัพย์ จำนวน 701,791.80 บาท สำนักอัยการจังหวัดขอนแก่นพิจารณาว่า เป็นคดีพิพาททางปกครอง จึงส่งเรื่องให้สำนักงานคดีปกครองขอนแก่นพิจารณาดำเนินการต่อไป
4.2 สำนักงานคดีปกครองขอนแก่น
ได้ส่งเรื่องคืนให้กรมชลประทาน เพื่อดำเนินการทางอนุญาโตตุลาการตามข้อสัญญา เนื่องจากการฟ้องคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง มาตรา 51 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 บัญญัติให้ยื่นฟ้องต่อศาลต่อศาลภายในกำหนด 1 ปี นับแต่วันที่รู้หรือควรรู้ถึงเหตุแห่งการฟ้องคดี ซึ่งคดีได้พ้นกำหนดระยะเวลายื่นฟ้องแล้ว หากยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง ศาลจะไม่รับคำฟ้องและเห็นว่าตามสัญญาข้อ 19.1 ได้กำหนดไว้ว่า “ ในกรณีที่มีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นระหว่างคู่สัญญาเกี่ยวกับข้อกำหนดแห่งสัญญานี้หรือเกี่ยวกับการปฏิบัติตามสัญญานี้ และคู่สัญญาไม่สามารถตกลงกันได้ ให้เสนอข้อโต้แย้งหรือข้อพิพาทนั้นต่ออนุญาโตตุลาการเพื่อพิจารณาชี้ขาด”
5. การดำเนินการทางอนุญาโตตุลาการ
กรมชลประทานส่งเอกสารผิดสัญญาจ้างเหมาก่อสร้างดังกล่าวให้พนักงานอัยการสูงสุด เพื่อมอบอำนาจให้ดำเนินกระบวนพิจารณาชั้นอนุญาโตตุลาการและขอให้จัดพนักงานอัยการยื่นคำเสนอข้อพิพาท ให้ห้างหุ้นส่วนจำกัด ก. ชดใช้ค่าปรับฐานผิดสัญญาจ้าง
5.1 การยื่นเสนอข้อพิพาท
วันที่ 25 กรกฎาคม 2549 พนักงานอัยการ สำนักงานคดีปกครอง สำนักงานอัยการสูงสุด ผู้รับมอบอำนาจดำเนินคดีแทนผู้เรียกร้อง(กรมชลประทาน) ได้ยื่นคำเสนอข้อพิพาท ต่อสถาบันอนุญาโตตุลาการ สำนักระงับข้อพิพาท สำนักงานศาลยุติธรรม ขอให้ผู้คัดค้าน (ผู้รับจ้าง) ชำระเงินค่าปรับและดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันเสนอข้อพิพาทถึงวันชำระเสร็จสิ้น
5.2 การยื่นคำคัดค้าน/คำแก้ข้อเรียกร้อง
วันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2549 ผู้คัดค้าน (ผู้รับจ้าง) ได้ยื่นคำคัดค้านต่อ สถาบันอนุญาโตตุลาการ พอสรุปได้ว่า ผู้เรียกร้องไม่มีความเสียหายใดๆ และไม่มีหลักฐานความเสียหายใดๆ ที่จะเรียก สถาบันอนุญาโตตุลาการได้ส่งสำเนาคำคัดค้านให้พนักงานอัยการ ผู้รับมอบอำนาจผู้เรียกร้อง ยื่นคำแก้ข้อเรียกร้องแย้งภายใน 15 วัน นับแต่ได้รับหนังสือนี้
วันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2549 พนักงานอัยการ ผู้รับมอบอำนาจดำเนินคดีแทนผู้เรียกร้อง ได้ยื่นคำแก้ข้อเรียกร้อง
5.3 การประชุมคณะอนุญาโตตุลาการ
วันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550 ได้มีการประชุม คณะอนุญาโตตุลาการ ฝ่ายผู้เรียกร้อง ฝ่ายผู้คัดค้าน และผู้เกี่ยวข้อง คณะอนุญาโตตุลาการได้แถลงเปิดเผยข้อเท็จจริงอันเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่เป็นอนุญาโตตุลาการในข้อพิพาทนี้ต่อคู่พิพาททั้งสองฝ่าย คู่พิพาททั้งสองฝ่ายแถลงไม่คัดค้านอนุญาโตตุลาการ
คณะอนุญาโตตุลาการได้พิจารณาคำเสนอข้อพิพาทคำคัดค้านแล้ว ได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทโดยความเห็นของคู่พิพาททั้งสองฝ่าย ดังนี้
1. ผู้เรียกร้องมีสิทธิยื่นข้อเรียกร้องต่อผู้คัดค้านที่ 2 (หุ้นส่วนผู้จัดการ) หรือไม่
2. คณะอนุญาโตตุลาการมีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทนี้หรือไม่
3. คู่พิพาทฝ่ายใดเป็นฝ่ายผิดสัญญา
4. คดีของคู่พิพาทขาดอายุความหรือไม่
5. ผู้เรียกร้องมีสิทธิเรียกค่าปรับหรือไม่ เพียงใด
6. ผู้คัดค้านที่ 2 ต้องรับผิดเป็นส่วนตัวหรือไม่ เพียงใด
7. ฝ่ายผู้คัดค้านมีสิทธิเรียกร้องค่างานหรือไม่ เพียงใด
การพิจารณาประเด็นข้อพิพาท
- ประเด็นข้อ 1 และข้อ 2 เป็นประเด็นข้อกฎหมาย คณะอนุญาโตตุลาการวินิจฉัยได้เอง
- ประเด็นข้อ 3 และ ข้อ4 ต่างฝ่ายต่างกล่าวอ้าง ต่างฝ่ายต่างมีภาระการพิสูจน์ในข้อกล่าวอ้าง ของตน
- ประเด็นข้อ 5 และ ข้อ 6 ผู้เรียกร้องกล่าวอ้าง จึงมีภาระการพิสูจน์
- ประเด็นข้อ 7 ฝ่ายผู้คัดค้านกล่าวอ้าง จึงมีภาระการพิสูจน์
ให้ผู้เรียกร้องนำสืบก่อน แล้วให้ผู้คัดค้านนำสืบภายหลัง ในการนำสืบพยานให้ผู้พิพาททั้งสองฝ่ายยื่นบันทึกคำให้การพยานฝ่ายตนทุกปากเป็นลายลักษณ์อักษรเพิ่มเติม (ถ้ามี) พร้อมทั้งคำซักถามพยานหมาย (ถ้ามี) จากนั้นได้นัดสืบพยานฝ่ายผู้เรียกร้อง และนัดสืบพยานฝ่ายผู้คัดค้าน
5.4 คำชี้ขาด/บัญชีแนบท้ายคำชี้ขาด
วันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2550 คณะอนุญาโตตุลาการพิจารณาพยานบุคคล พยานเอกสารที่คู่พิพาททั้งสองฝ่ายนำสืบแล้ววินิจฉัยประเด็นข้อพิพาท มีคำชี้ขาดดังนี้
1. ผู้เรียกร้องมีสิทธิ์ยื่นข้อเรียกร้องกับผู้คัดค้านที่ 2 ตามข้อสัญญาเกี่ยวกับการเสนอข้อพิพาทต่ออนุญาโตตุลาการได้
2. คณะอนุญาโตตุลาการมีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทนี้ได้
3. ผู้คัดค้านเป็นฝ่ายผิดสัญญา
4. คดีไม่ขาดอายุความ
5. เห็นสมควรลดค่าปรับลงบางส่วนเป็นเงิน 300,000 บาท คงเหลือเบี้ยปรับเป็นเงิน 1,673,309.87 บาท ผู้คัดค้านส่งมอบงานคิดผลงานเป็นเงินเพียง 1,290,519 บาท และผู้เรียกร้องได้เงินตามหนังสือค้ำประกันไปแล้วเป็นเงิน 238,900 บาท หักแล้วผู้คัดค้านต้องชำระอีก 162,891.80 บาท
6. ผู้คัดค้านที่ 2 ต้องรับผิดเป็นส่วนตัวในบรรดาหนี้ของผู้คัดค้านที่ 1 โดยไม่จำกัดจำนวน
7. ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยว่าผู้คัดค้านส่งมอบงานจริงหรือไม่ เนื่องจากคดีขาดอายุความเกินกว่า 2 ปี
บัญชีแนบท้ายคำชี้ขาด อาศัยอำนาจตามมาตรา 46 และ 47 แห่งพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 และข้อ 36 แห่งข้อบังคับสำนักงานศาลยุติธรรมว่าด้วยอนุญาโตตุลาการ สถาบันอนุญาโตตุลาการ คณะอนุญาโตตุลาการ ได้กำหนดค่าธรรมเนียม ค่าใช้จ่าย และค่าป่วยการ รวมเป็นค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น 80,118 บาท ให้คู่พิพาททั้งสองฝ่ายออกใช้ฝ่ายละกึ่งหนึ่ง สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินกระบวนการพิจารณาคดีของสถาบันอนุญาโตตุลาการ และค่าป่วยการของคณะอนุญาโตตุลาการ
ผู้รับจ้างได้นำเงินตามที่คณะอนุญาโตตุลาการชี้ขาด(พร้อมดอกเบี้ย) มาชำระแก่กรมชลประทาน เมื่อวันที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2550
6. สรุป
จากกรณีศึกษาที่นำเสนอนี้ จะเห็นว่าเป็นกรณีพิพาทที่ไม่มีความยุ่งยากซับซ้อนและทุนทรัพย์ไม่สูงมากนัก นอกจากนี้คู่พิพาทยังยินยอมดำเนินการตามคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ โดยไม่ต้องร้องขอให้ศาลออกคำบังคับ หมายบังคับคดี และดำเนินการบังคับคดี แต่ข้อเท็จจริงในทางปฏิบัติจากกรณีศึกษา เมื่อเกิดข้อพิพาทแล้วต้องใช้เวลาตั้งแต่เกิดข้อพิพาทในปี 2539 จนกระทั่งได้รับคำชี้ขาดในปี 2550 ประมาณ 11 ปี และมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินการค่อนข้างสูง กรมชลประทานจึงได้มีการหารือเกี่ยวกับข้อเสียเปรียบ ในกรณีมีปัญหาข้อพิพาทและนำเข้าสู่การพิจารณาของอนุญาโตตุลาการ ซึ่งทางราชการมักจะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบและต้องเสียค่าใช้จ่ายมาก นอกจากนี้แบบสัญญาจ้างตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 มีดอกจัน (*) กำกับอยู่ที่ข้อสัญญาที่เกี่ยวกับกรณีข้อพิพาทและอนุญาโตตุลาการ และได้หมายเหตุท้ายระเบียบว่า “ตัดออกหรือให้ใช้ตามความเหมาะสม” รวมถึงมีข้อทักท้วงของกรมบัญชีกลางเกี่ยวกับเรื่องนี้ อีกทั้งเห็นว่าการดำเนินคดีทางศาล คู่กรณีมีโอกาสต่อสู้คดีกันได้ถึง 3 ศาล คือ ศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ ศาลฏีกา ผลการพิจารณาคดีย่อมจะได้รับการกลั่นกรองมาเป็นอย่างดีแล้วตามลำดับชั้นของศาล ทำให้คู่กรณีได้รับความเป็นธรรมมากขึ้น รวมทั้งค่าใช้จ่ายในชั้นศาลจะไม่เสีย โดยเสียค่าธรรมเนียมในการดำเนินการเพียงร้อยละ 2.5 สูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท ดังนั้นจึงได้ตัด “กรณีพิพาทและอนุญาโตตุลาการ” ออกจากแบบฟอร์มสัญญาจ้างตั้งแต่ปี พ.ศ. 2538
กิตติกรรมประกาศ
ผู้เขียนใคร่ขอขอบคุณ คุณประสาร สิงหเทพ หัวหน้างานคดีสัญญา ฝ่ายคดี กองกฎหมายและที่ดิน กรมชลประทาน ที่ได้กรุณาให้ข้อมูลและเอกสารประกอบการจัดทำกรณีศึกษาในครั้งนี้ และขอขอบพระคุณ อ.ปรัชญา อยู่ประเสริฐ ที่ได้ให้ความรู้และข้อมูลเกี่ยวกับการอนุญาโตตุลาการรวมถึงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับอนุญาโตตุลาการ ที่เป็นประโยชน์สำหรับการเขียนบทความฉบับนี้
ท้ายที่สุดนี้ผู้เขียนใคร่ขอขอบพระคุณ ผศ.ดร. วรานนท์ คงสง , ผศ.ดร.เสรีย์ ตู้ประกาย และคณะที่จัดให้มีการเรียนการสอนวิชา EL 624 การสัมนาทางการตรวจสอบและกฎหมายวิศวกรรม จึงทำให้เกิดบทความ กรณีศึกษาการอนุญาโตตุลาการระหว่างส่วนราชการกับเอกชน สัญญาจ้างก่อสร้างขุดลอกหนองน้ำและคลองธรรมชาติ ขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม
เอกสารอ้างอิง
[1] สัญญาเลขที่ สชป.4/31/2537 ลงวันที่ 12 พฤษภาคม 2537. กรมชลประทาน
[2] เอกสารเกี่ยวกับคดี 272/51 ฝ่ายคดี , กองกฎหมายและที่ดิน. กรมชลประทาน
[3] ปรัชญา อยู่ประเสริฐ, 2552. การอนุญาโตตุลาการสำหรับบุคลากรทางการก่อสร้าง. กระบวนการระงับข้อพิพาทในงานวิศวกรรม, วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูประถัมภ์
[4] กฎหมายและข้อบังคับว่าด้วยอนุญาโตตุลาการ, สถาบันอนุญาโตตุลาการ. สำนักงานศาลยุติธรรม
[5] การอนุญาโตตุลาการ, สถาบันอนุญาโตตุลาการ. สำนักงานศาลยุติธรรม
[6] คู่มือการระงับข้อพิพาทสำหรับประชาชน, สถาบันอนุญาโตตุลาการ. สำนักงานศาลยุติธรรม
[7] ข้อสัญญาอนุญาโตตุลาการมาตรฐาน, สถาบันอนุญาโตตุลาการ. สำนักงานศาลยุติธรรม
ประวัติผู้เขียน
นายธีระพงษ์ ปากเมย วศ.บ. (เกษตร)
มหาวิทยาลัยขอนแก่น
หัวหน้ากลุ่มงานวิศวกรรมบริหาร
โครงการก่อสร้าง 2 สำนักชลประทานที่ 8